ที่มา : พูนศักดิ์ ประถมบุตร กายวิภาคและสรีรวิทยา พิมพ์ครั้งที่ ๒ สำนักพิมพ์โอเดียนสโตร์ หน้า ๖๒ - ๗๑
เรื่อง เม็ดโลหิตแดง ( erythrocyte หรือ red blood cell )
เม็ดโลหิตแดง ( erythrocyte หรือ red blood cell )
ลักษณะ เม็ดโลหิตแดงเป็นเซลล์ที่ไม่มีนิวเคลียส มองด้านบนเป็นรูปกลม มองด้านตรงกลางเว้าเข้าหากัน (biconcave) การเว้าทำให้ก๊าซซึมเข้าเม็ดโลหิตได้ง่าย มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๗.๒ ไมครอน ( ๑ ไมครอน = ๐.๐๐๑ มม. )
จำนวนโดยปกติผู้ชายจะมีเม็ดโลหิตแดงประมาณ ๕ ล้านเซลล์ ต่อ ๑ ลบ.มม. ของโลหิต ผู้หญิงมีประมาณ ๔.๕ ล้านเซลล์ ต่อ ๑ ลบ.มม.
หน้าที่ ช่วยขนส่งก๊าซออกซิเจนจากปอดไปสู่เยื่อต่างๆ โดยการรวมตัวกับฮีโมโกลบิน ( heamoglbin หรือ Hb ) ในเม็ดโลหิตแดงเป็นออกซีฮีโมโกลบิน ( oxyhamoglobin ) และ ช่วยลำเลียงก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ จากเนื้อเยื่อกลับไปยังปอด นอกจากนี้ Hb ยังช่วยในการรักษาความเป็นกรดด่างของโลหิตอีกด้วย
( ฮีโมโกลบิน ประกอบด้วย heme = โลหิตประมาณ ๔ % ซึ่งประกอบด้วยเหล็ก และ globin สารโปรตีนประมาณ ๙๖ % )
ในโลหิตปกติจะมีฮีโมโกลบินประมาณ ๑๕ กรัมต่อโลหิต ๑๐๐ มล. ฮีโมโกลบิน ๑ กรัม สามารถจับออกซิเจนได้ ๑.๓๔ มล. ดังนั้นโลหิต ๑๐๐ มล. สามารถจับออกซิเจนได้ประมาณ ๒๐ มล. หรือร้อยละ ๒๐ โดยปริมาตร
การส้รางเม็ดโลหิตแดง เม็ดโลหิตแดงถูกสร้างขึ้นที่ไขกระดูก ( Bone marrow ) มีอายุประมาณ ๑๒๐ วัน จึงถูกทำลายที่ตับและม้าม
การผิดปกติที่เกี่ยวกับเม็ดโลหิตแดง
โลหิตจาง ( anemia ) เนื่องจากขาดธาตุเหล็ก หรือมีเม็ดโลหิตแดงน้อย (ฮีมาโตคริดต่ำ) โดยอาจเกิดจากการสูญเสียโลหิต หรือเป็นโรคพยาธิ นอกจากเหล็กแล้ว วิตามินบี ๑๒ ก็มีความสำคัญและจำเป็นสำหรับการสร้างเม็ดโลหิตแดง
เม็ดโลหิตแดง ( haemolysis ) สาเหตุเนื่องจากเชื้อมาลาเลียและแบคทีเรียบางชนิด เช่น สเตรพโตคอคซิ สตาฟิโลคอคซิ หรือการได้รับสารเคมีพวกตะกั่ว สารหนู ละพิษงู จากยาบางชนิด ซัลฟามาไมด์ และอมิโตไพริน เป็นต้น
นอกจากนี้เม็ดโลหิตแดงอาจถูกกัน ( block ) ไม่ให้สามารถจับออกซิเจนได้ โดยก๊าซคาร์บอนมอน็อกไซด์ ( co ) โดยที่ฮีโมโกลบินจับคาร์บอนมอนน็อกไซด์ดีกว่า ออกซิเจนทำให้ร่างกายขาดออกซิเจน และทำให้ถึงเสียชีวิต
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น